วันศุกร์ที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

หนัง"ฤดูที่ฉันเหงา" มุมมองรักผ่านสายฝน

อนงค์ จันทร เรื่อง

เป็น ผลงานการกำกับฯ และเขียนบทเรื่องที่ 2 ของผู้กำกับฯ ไฟแรง "แดน"วรเวช ดานุวงศ์สำหรับภาพยนตร์เรื่อง "ฤดูที่ฉันเหงา" หลังผ่านเรื่องแรก "คืนวันเสาร์ถึงเช้าวันจันทร์"



นำแสดงโดย "แจ๊ค"เฉลิมพล ฑิฆัมพรธีรวงศ์ (คุง), นารา เทพนุภา (นารา), โทนี่ รากแก่น (เดซี่), "แป้งโกะ"จินตนัดดา ลัมะกานนท์ (แจน) ฯลฯ และมีหนุ่ม "แดน" ร่วมแสดงด้วย



โดย "แดน" เล่าว่า "ฤดูที่ฉันเหงา" เป็นเรื่องราวความรักที่เล่าผ่านตัวละครกลุ่มหนึ่ง โดยทุกตัวละครดำเนินชีวิตรักไปตามความรู้สึกของตัวเองที่มีความรู้สึกเกี่ยวกับฝน

"เนื้อหา ก็เป็นเรื่องของนาราสาวใสหัวใจสีชมพู เดินเข้าออกร้านตัดผมเป็นว่าเล่นเพราะตกหลุมรักเดซี่เจ้าของร้านตัดผมใกล้ บ้าน ขณะเดียวกันก็มีคุงเด็กตัวอ้วนลูกครึ่งญี่ปุ่นแอบหลงรักนาราจึงไปเช่าบ้าน ของนักดนตรีที่อยู่ตรงข้ามบ้านนาราเพื่อตามติดสาว ส่วนเดซี่ก็มีแจนสาวมาดเซอร์แอบมาวิ่งเล่นให้ป่วนหัวใจ"

สำหรับ การเลือกนักแสดง แดนแง้มว่า "เลือกจากคาแร็กเตอร์ในบทก่อนเพื่อเป็นตัวแทนเล่าเรื่องฝน เช่นฝนตกทำให้รู้สึกรัก เหงา เศร้า อย่างของผมจะเล่าในมุมฝนทำให้เหงา โทนี่เล่าในมุมชิลชิล ฝนตกแล้วเดี๋ยวก็หยุด"

"ส่วนแป้ง โกะ เป็นตัวแทนฝนตกแล้วรู้สึกหนาว อยากได้ความอบอุ่น ไลน์เรื่องนี้เลยพาแป้งโกะไปเจอโทนี่ในร้านตัดผมซึ่งมีอุณหภูมิอบอุ่น บางอย่าง น้องนาราเป็นตัวแทนความรู้สึกเวลาฝนตกแล้วอยากมีความรัก เดินหาความรัก"


"แจ๊ค เป็นมุมมองที่ไม่เกี่ยวกับฝนเลย เป็นมุมมองตัวเอง ใช้ชีวิตให้มีความสุข รู้สึกว่าฝนตกก็ตกไง เปียกไง อยากเล่นน้ำฝนก็ออกไปเล่น ไม่อยากเล่นไม่อยากเปียกก็เข้ามาหลบในร่ม"

ถามว่าทำไม เลือก "แจ๊ค" เป็นพระเอก แดนอธิบายว่า "เพราะสนิท รู้ว่าเขานิสัยยังไง เขาจิตใจดี รักพี่ รักน้อง รักครอบครัว ผมหาพระเอกที่ไม่ต้องหล่อมาก พิสูจน์ตัวเองจากข้างในว่าผมเองก็มีความรักได้ ไม่ต้องขึ้นอยู่กับหน้าตา ขอแค่มีความจริงใจเท่านั้น"

ในส่วนเคมีของแต่ละคู่ แดนรับว่าเข้ากัน "ในเรื่องโทนี่กับแป้งโกะตกหลุมรักกันในร้านตัดผม มองกันผ่านกระจก สระผม ตัดผมเท่านั้นเอง ระหว่างตัดผมและมองกัน ต้องทำให้คนดูรู้สึกว่าคิดอะไรอยู่ รู้สึกอะไร คำพูดแต่ละคำมีความหมาย ซึ่งทั้งคู่อยู่ด้วยกันทำให้ข้างในอบอุ่นอย่างที่เราต้องการ เคมีทั้งคู่ส่งตรงกันได้จริงๆ แม้แต่การมองกันผ่านกระจก หรือความรู้สึกของแป้งโกะที่มีมือของ โทนี่สระผมให้อยู่ เขาเชื่อมถึงกันได้"

"แจ๊คกับนาราก็เช่นกัน แจ๊คแสดงการแอบชอบผู้หญิงได้เนียนมาก เวลาเขาเจอกันน่ารักมาก แล้วในซีนดราม่าก็แสดงได้ดี นารานี่หันซ้ายน้ำตามา หันขวาน้ำตามา หันข้างน้ำตาหยดสวยงามมาก แจ๊คก็เหมือนกัน"




"ฤดูที่ฉันเหงา" เป็นหนังเกี่ยวกับฝน จึงมีฝนเกือบ 80% ของรื่อง ซึ่งแดนรับว่าการถ่ายทำลำบากแต่เป็นความลำบากที่เขาต้องการอยากลองเพื่อจะ ได้รู้



ถามว่าทำไม "ฤดูฝน" ถึงต้องเป็น "ฤดูที่ฉันเหงา" แดนอธิบายว่า



"เพราะ บางครั้งเรามองฝนว่าเป็นตัวแทนของน้ำตา แทนการร้องไห้ ซึ่งเป็นได้ทั้งดีใจและเสียใจ แต่ถ้านึกถึงความรู้สึกหลักๆ มักจะเจอว่าเวลาอกหักแล้วมีฝนตกอยู่จะทำให้เรายิ่งเศร้า มันก็เป็นตัวแทนเปอร์เซ็นต์ของ คนที่จะมีความรู้สึกมากกว่า ว่าเมื่อฝนตกแล้วทำไมรู้สึกว่าเหงาจัง"

พิสูจน์ "ความเหงา" กับ "ฤดูที่ฉันเหงา" 9 พ.ค. นี้ทุกโรงภาพยนตร์

เลือก"พญาเสือโคร่ง"ดอกไม้ประจำหนัง

เป็นคนที่มองเมืองไทยสวยงาม ว่าแล้ว ผู้กำกับฯ "แดน-วรเวช" ก็สร้างฉากภาพยนตร์ "ฤดูที่ฉันเหงา" ให้คนไทยภูมิใจ โดยเผยว่า "เรื่องนี้เรายกกองไปถ่ายทำที่แม่ฮ่องสอน 90-95% ซึ่งปกติเราจะไปทุ่งไปภูเขา แต่เรื่องนี้ผมเข้าเมืองไปเลย เซ็ตเมืองขึ้นมา เข้าไปทาสีใหม่ ติดวอลเปเปอร์ ทำผนัง ปรับโลเกชั่นใหม่ทุกอย่าง"

แต่ ที่ดูแล้วมีกลิ่นอายญี่ปุ่น แดนแจงว่า "พอดีผมไปเจอคนที่บอกว่าที่นี่เจ๋ง เหมือนต่างประเทศเลย การที่คุณมองว่าวิวประเทศโน้นนี้เจ๋ง ผมก็ต้องการเชื่อมบางอย่างให้รู้สึกว่าเมืองไทยถ้าถูกเซ็ตดีๆ ถูกจัดวางดีๆ ก็สวยเหมือนกัน แต่บางทีต้องมีการอ้างอิงเรื่องกลิ่นหรือรสนิยมบางอย่างเพื่อเชื่อมคนไทยว่า จริงๆ บ้านเราก็ทำได้ อยู่ที่วิธีคิด อยู่ที่มุมมอง"

"ในเมืองไทยไม่ว่าจะเป็นบ้านไม้เก่าขนาดไหน ถ้าเรามีวิธีคิดหรือถูกพัฒนาไปในทิศทางที่ดี เราก็สามารถยืนในระดับเดียวกับต่างประเทศที่คุณไปท่องเที่ยวได้ ทำทุกอย่างให้ทุกคนรู้สึกว่าประเทศไทยน่าอยู่ นั่นคือสิ่งที่ผมตั้งใจถ่ายทอด อยากให้ทุกคนรักเมืองไทยมากขึ้น ภูมิใจถ้าหนังเรื่องนี้มีโอกาสไปฉายต่างประเทศ อย่างน้อยก็บอกให้รู้ว่าเมืองไทยน่ารัก เกิดใครจะมาเที่ยวมาพัก ไม่ใช่แค่สถานที่หรือแหล่งท่องเที่ยวหลักที่ททท.โปรโมต แต่มันคือทุกที่ที่คุณเดินไปสวยได้หมด"

นอกจากนี้ "ฤดูที่ฉันเหงา" ยังมีดอกไม้ประจำหนัง นั่นคือ "ดอกพญาเสือโคร่ง" แดนเล่าว่า "ดอกพญาเสือโคร่งจะอยู่ในทุกๆ โลเกชั่น แต่ที่ที่อยากได้จริงๆ คือบนเขา เพราะคนรู้สึกว่าญี่ปุ่นสวยงามน่ารักกับดอกซากุระ แต่ผมแค่อยากทำยังไงก็ได้ให้รู้สึกว่าถ้าคุณลองใส่ใจมองเมืองไทยด้วยใจ โรแมนติก คุณจะเห็นว่าเมืองไทยก็มีอย่างที่ประเทศอื่นๆ มีครับ"

เต็มอิ่มกับเนื้อหาหนังแล้ว เรียกว่ายังเต็มอิ่มกับความงามอีกมุมหนึ่งของเมืองไทยที่ผู้กำกับฯ ตั้งใจนำเสนอ




ที่มา ข่าวสดออนไลน์ http://www.khaosod.co.th

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น