วันศุกร์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

อุทาหรณ์เมาแล้วขับ หนุ่มซิ่งเก๋งชน 2 ตร. ลากติดรถ-ดับคาที่


อุทาหรณ์ที่มีปมเหตุจากการเมาแล้วขับยังคงมีให้เห็นไม่เว้นแต่ละวัน

โดยอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นแต่ละครั้งล้วนมีความสูญเสีย ทั้งชีวิตและทรัพย์สินตามมาแทบทุกครั้งเช่นกัน

ซึ่งที่ผ่านมาหลายหน่วยงานต่างหา มาตรการมาล้อมคอกป้องกัน

แต่สุดท้ายก็ยังไม่วายเกิดเหตุไม่คาด คิดขึ้น

อย่างเหตุระทึกขวัญที่เกิดขึ้นกลางดึกวันที่ 21 พ.ค.ที่ผ่านมา ขณะที่จ.ส.ต. ขจรศักดิ์ คำชนะ อายุ 34 ปี ผบ.หมู่งานป้องกันและปราบปราม สภ.เมืองนครพนม กำลังขี่รถจักรยานยนต์ พา ด.ต.ประเสริฐ สินอยู่ อายุ 44 ปี สังกัดเดียวกัน ซ้อนท้ายออกลาดตระเวน ดั่งเช่นปกติเหมือนทุกวัน

ขณะขี่รถลัดเลาะตรวจความเรียบร้อย มาถึงบริเวณถนนบายพาสสายนครพนม-ธาตุพนม เขตเทศบาลเมืองนครพนม

จังหวะนั้นตำรวจทั้ง 2 นาย สังเกตเห็นรถเก๋งวิ่งตามมาด้านหลังด้วยความเร็วสูง

แต่ยังไม่ทันได้หักรถหลบเลี่ยง รถเก๋ง คันดังกล่าวกลับพุ่งทะยานชนรถจักรยานยนต์ ของตำรวจเข้าอย่างจัง จนรถจักรยานยนต์ล้มคว่ำอยู่กลางถนน 

ส่วนร่างของจ.ส.ต.ขจรศักดิ์กระเด็นกลิ้งม้วนแล้วนอนแน่นิ่งกับพื้นถนน

ขณะที่รถเก๋งต้นเหตุยังคงวิ่งไป ด้วยความเร็ว พร้อมกับลากร่างของ ด.ต.ประเสริฐติดรถไปด้วยเป็นทางยาวกว่า 100 เมตร 

ก่อนรถเก๋งจะเสียหลักพุ่งลงคูน้ำข้างทาง ส่วนด.ต. ประเสริฐก็กระเด็นตกลงไปด้วย

จากนั้นไม่นานเจ้าหน้าที่ สภ.เมืองนคร พนม รับแจ้งเหตุจึงรุดมาตรวจสอบ 

นำโดย พ.ต.อ.สมนึก มิควาฬ ผกก.สภ.เมืองนครพนม พร้อมแพทย์เวร ร.พ. นครพนม และเจ้าหน้าที่กู้ภัย

เมื่อมาถึงก็พบร่างจ.ส.ต.ขจรศักดิ์นอนเสียชีวิตในเครื่องแบบอยู่กลางถนน 

ถัดไปเล็กน้อยเจอรถจักรยานยนต์ สายตรวจ ยี่ห้อไทเกอร์ สีน้ำตาลดำ ทะเบียนตราโล่ 13719 ล้มคว่ำอยู่

ก่อนเจ้าหน้าที่จะลงไปงมหาร่างที่ไร้วิญญาณของด.ต.ประเสริฐ ที่จมอยู่ก้นคูน้ำขึ้นมา

ใกล้กันพบรถเก๋งยี่ห้อฮอนด้า ซีวิค สีบรอนซ์เงิน ทะเบียน ชห 4752 กรุงเทพมหานคร ตกลงไปในคูน้ำลึกสภาพ หน้ารถพังยับ

ภายในรถพบ นายชลเดช ศรีหารัตน์ อายุ 29 ปี อยู่บ้าน เลขที่ 136 เขตเทศบาลเมืองนครพนม คนขับ

แล้วข้างๆ พบ นายอุทัย ศรีม่วง วัย 23 ปี ซึ่งทั้ง 2 คนอยู่ในสภาพมึนเมาและกลิ่นเหล้าคละคลุ้ง

จากนั้นคุมตัวทั้ง 2 คนมาสอบสวนถึงที่มาที่ไปของเหตุการณ์ทั้งหมด 

โดยนายชลเดชให้การรับสารภาพว่า ก่อนเกิดเหตุนั่งดื่มเบียร์กับนายอุทัย ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องบริเวณลานริมเขื่อนหน้าตลาดอินโดจีน 

พอเบียร์หมดไป 6 ขวดเลยขับรถเดินทางกลับบ้าน โดยใช้ความเร็วสูง

เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุเห็นรถสายตรวจตำรวจ แต่ขณะนั้นเบรกไม่ทันเลยพุ่งชน เข้าเต็มแรง จากนั้นรถเสียหลักตกลงคูน้ำริมถนน

ซึ่งในจังหวะนั้นรถยังเกี่ยวร่าง ด.ต.ประเสริฐติดรถไปไกลกว่า 100 เมตร 

เบื้องต้นตำรวจจึงแจ้งข้อหานายชลเดชขับรถในขณะมึนเมา และขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต

พ.ต.อ.สมนึก กล่าวว่า หลังเกิดเหตุ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร. โทรศัพท์มาสอบถามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยความห่วงใย พร้อมแสดงความเสียใจแก่ครอบครัวตำรวจทั้ง 2 นายด้วย

ต่อมา พล.ต.ท.กวี สุภานันท์ ผบช. ภาค 4 เดินทางมาร่วมพิธีรดน้ำศพที่วัดอรัญ ญิกาวาส อ.เมืองนครพนม

พร้อมมอบเงินช่วยศพละ 30,000 บาท ขณะเดียวกันทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พิจารณาปูนบำเหน็จความดีความชอบให้ตำรวจทั้ง 2 นายตามระเบียบ เนื่องจากเสียชีวิตในระหว่างปฏิบัติหน้าที่

โดย ด.ต.ประเสริฐ ได้เลื่อน 7 ขั้น 5 ชั้นยศเป็น"พ.ต.ท."

ส่วน จ.ส.ต.ขจรศักดิ์ พิจารณาเลื่อน 7 ขั้น 5 ชั้นยศเช่นกัน เป็น"พ.ต.ต."

นอกจากนี้จะดูแลทายาท หากเรียนจบปริญญาตรีจะบรรจุเข้าเป็นนายตำรวจชั้นสัญญาบัตร หากไม่จบปริญญาตรีจะบรรจุเป็นตำรวจชั้นประทวน

ด้าน นพ.ธนะพงศ์ จินวงษ์ ผู้จัดการศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน กล่าวว่า การดื่มแอลกอฮอล์แล้วขับรถถือเป็นสาเหตุสำคัญทำให้เกิดอุบัติเหตุ โดยพบผู้ประสบอุบัติเหตุและเสียชีวิต บาดเจ็บที่เกิดจากการดื่มแอลกอฮอล์ คิดเป็น 1 ใน 3 หรือร้อยละ 30 ของการเกิดอุบัติเหตุทั้งหมด 

อีกทั้งการดื่มแอลกอฮอล์ถือเป็นสาเหตุที่ทำให้การตัดสินใจช้าลง โดยหากดื่มแอลกอฮอล์ 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ และขับรถด้วยความเร็ว 100 ก.ม.ต่อชั่วโมง จะตัดสินใจช้าลง 0.5 วินาที ทำให้ระยะเบรกใกล้ขึ้นประมาณ 10-20 เมตร 


ที่มา ข่าวสดออนไลน์ http://www.khaosod.co.th

ปคม.แถลงคดีกามเกาหลี - อาสาวยันไม่ได้ลวงหลาน หอบวงจรปิดให้ตร.


วันที่ 24 พ.ค. ที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ (บก.ปคม.) พล.ต.ต.ชวลิต แสวงพืชน์ ผบก.ปคม. พ.ต.อ.ชิตภพ โตเหมือน ผกก.1 บก.ปคม. พ.ต.ท.ชูศักดิ์ อภัยภักดิ์ พงส.ผนพ. กก.1 บก.ปค ร่วมแถลงจับกุมนางเพียงใจ คิม อายุ 37 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลอาญาที่ 896/2556 ลงวันที่ 22 พฤษภาคม 2556 ในความผิดฐานร่วมกันค้ามนุษษย์โดยแสวงหาประโยชน์จากการค้าประเวณี และข้อหาอื่นๆ รวม 5 ข้อหา ซึ่งเป็นอาแท้ๆ ของ น.ส.เอ (นามสมมุติ) อายุ 17 ปี ผู้เสียหายซึ่งถูกหลอกลวงไปค้าประเวณีที่เกาหลีใต้ ภายหลังได้เดินทางกลับมาถึงเมืองไทยด้วยสายการบิน Eastar Jet เที่ยวบินที่ZE511 มาถึงสนามบินสุวรรณภูมิเมื่อเวลา 21.30 น. ก่อนที่ตำรวจ ตม. จะเข้าควบคุมตัวตามหมายจับ และประสานให้ พ.ต.อ.ชิตภพ โตเหมือน ผกก. 1 บก.ปคม. และ พ.ต.ท.ชูศักดิ์ อภัยภักดิ์ พนักงานสอบสวน กก.1 บก.ปคม. เดินทางไปรับตัวเมื่อช่วงค่ำที่ผ่านมา
 
จากการสอบสวนเบื้องต้นนางพิมใจให้การปฎิเสธว่าไม่ได้เป็นผู้ชักชวนไปแต่เป็นความสมัครใจของหลานสาวเอง วันนี้ก็ได้นำหลักฐานซึ่งเป็นข้อมูลพร้อมภาพวงจรปิดมามอบให้เพื่อตรวจสอบ โดยหลังจากนี้ตำรวจจะสอบปากคำทั้งสองฝ่ายอย่างละเอียด และตรวจสอบหลักฐานทั้งหมด โดยนางพิมใจได้นำเงินสด 400,000 บาทมาเพื่อประกันตัว โดยเจ้าหน้าที่ไม่ได้คัดค้านแต่อย่างใด แต่จะควบคุมตัวเพื่อส่งศาลอาญารัชดาในช่วงเช้า วันพรุ่งนี้ (25 พ.ค.)

ด้านนางเพียงใจ กล่าวว่า ตนเข้ามอบตัวเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ และให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา ซึ่งการค้าประเวณีเป็นข้อกล่าวหาที่แรงเกินความจริง ร้านที่ตนทำงานเป็นเพียงร้านนวดแผนไทยธรรมดาไม่ได้มีการค้าประเวณี อีกทั้งหลานสาวเป็นคนสมัครใจไปเองไม่ได้มีการบังคับข่มขู่ โดยแม่ของเด็กก็เคยไปทำงานที่ร้านนี้และยังทราบดีว่าหลานสาวขอไปด้วย อีกทั้งแม่ของเด็กยังเดินทางไปส่งหลานกับตนที่สนามบินในวันที่เดินทาง ส่วนตอนอยู่ที่เกาหลีก็กินนอนอยู่ด้วยกันตลอดไม่ได้มีใครมาควบคุมหรือขู่บังคับ เพราะหลานสาวก็ยังเล่นเฟซบุ๊กตลอด หากบอกตนหรือปรึกษาเสียก่อนว่าอยากกลับตนก็ยินดีจะส่งตัวกลับ

นางเพียงใจ กล่าวอีกว่า ส่วนสาเหตุที่หลานไปโพสเฟซบุ๊กขอความช่วยเหลือว่าถูกหลอกมาค้าประเวณีนั้น ตนไม่ทราบว่าเพราะเหตุใด หรือหลานอาจจะคิดว่าทำงานนวดแล้วเหนื่อยวันละ 4-5 คน เพราะหลานไม่เคยทำงานหนักมาก่อน อีกทั้งคงกลัวว่าถ้าบอกพ่อแม่ว่าขอกลับเมืองไทยจะถูกดุด่าเพราะไม่มีความอดทน จนเป็นสาเหตุในการไปโพสต์ขอความช่วยเหลือดังกล่าว 

สำหรับตนนั้นไม่โกรธหลานเพราะอาจยังเด็กจึงรู้เท่าไม่ถึงการณ์ แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมไม่มาบอกตรงๆ ทำให้เรื่องบานปลายจนตนต้องถูกศาลออกหมายจับจนเสียประวัติและครอบครัวก็ได้รับผลกระทบไปด้วย ส่วนการพิจารณาแจ้งความดำเนินคดีกับ พ.ต.ท.ธานินทร์ นั้น ขณะนี้ยังขอพิจารณาอีกครั้งว่าเรื่องที่เกิดขึ้นทำให้ตนเสียหายแค่ไหน ความจริงแล้วก็เข้าใจว่าตำรวจทำตามหน้าที่ รวมทั้งทาง บก.ปคม.ซึ่งดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมาย ส่วนเรื่องนี้ผู้ปกครองของ น.ส.เอ ยังไม่ได้พูดกับตน แต่คงยังไม่แจ้งความกลับผู้ใด

ด้านพ.ต.ท.ธานินทร์ จินดามณี รองผกก.สส.สภ.โคกศรีสุพรรณ จ.สกลนคร ซึ่งรับข้อมูลช่วยเหลือสาววัย 17 ปี เป็นคนแรก เปิดเผยกับ “ข่าวสด” ด้วยว่า ตนเป็นเพียงผู้รับเรื่องและส่งข้อมูลให้กับสถานทูตไทยประจำกรุงโซล ประเทศเกาหลีและบก.ปคม. เท่านั้น ถ้าข้อเท็จจริงเกิดข้อผิดพลาดจริงทางหน่วยงานที่ทำการตรวจสอบเรื่องดังกล่าวไม่จำเป็นต้องช่วยเหลือน.ส.เอก็ได้ แต่ทางหน่วยงานมีหลักฐานหรือข้อมูลประกอบด้วยอยู่แล้ว ไม่เช่นนั้นคงไม่ทำการจับกุมหรือนำเรื่องดังกล่าวเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมเพื่อขอให้ศาลออกหมายจับ 

ส่วนกรณีที่เด็กอาจจะให้ข้อมูลเท็จด้วยหรือไม่นั้น ก็เป็นธรรมดาที่เด็กต้องเข้าข้างญาติของตนเอง แต่ข้อมูลการสอบปากคำทั้งหมดถูกบันทึกเอาไว้หมดแล้ว โดยมีตำรวจ พนักงานอัยการ นักจิตวิทยา นักสังคมสงเคราะห์ และคนที่น.ส.เอไว้ใจไว้ร่วมสอบปากคำด้วย เพื่อป้องกันน.ส.เอ เบี้ยวหรือเปลี่ยนคำพูด และหากเด็กเกิดเปลี่ยนคำพูดจริงแล้ว ตนก็เป็นเพียงผู้รับแจ้ง ถ้าเป็นคนธรรมคงไม่เท่าไร่ แต่เป็นตำรวจพอดีจึงเป็นข่าว 

อย่างไรก็ตาม คดีดังกล่าวมีการกระทำความผิดเกิดขึ้นในต่างประเทศ เจ้าพนักงานที่รับผิดชอบคดีจากต่างประเทศต้องทำการรวบรวมข้อมูลมาอย่างดี รวมทั้งหน่วยงานภายในประเทศที่รับผิดชอบดำเนินการดังกล่าว เพราะขั้นตอนดำเนินการมาจนถึงการรวบรวมหลักฐานเพียงพอที่สามารถขออนุมัติศาลออกหมายจับและนำมาทำการจับกุมแล้ว

 พ.ต.ท.ธานินทร์ กล่าวอีกว่า จากหลักฐานข้อมูลที่ตำรวจไม่สามารถนำออกมาแสดงต่อหน้าสื่อได้ ยืนยันได้ว่าเด็กไม่ได้เดินทางไปคนเดียวยังมีเด็กคนอื่นๆ เดินทางไปด้วย โดยที่ไม่รู้จักกัน เชื่อได้ว่าแก๊งค้ามนุษย์ดังกล่าวต้องมีการทำงานกันเป็นขบวนการ เพราะเด็กอายุ 17 ปี เดินทางไปทำงานต่างประเทศ ถือว่าผิดกฎหมายตั้งแต่ต้น เพราะไม่มีใบอนุญาตการทำงาน รวมถึงหากมอบตัวแล้วในกระบวนการสอบสวนอย่างคดีดังกล่าว มักจะไม่ได้รับการประกันตัวเมื่อเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม จึงต้องรอให้ถึงขั้นตอนที่พนักงานสอบสวนผู้ต้องหาพร้อมนำสำนวนคดีส่งอัยการสั่งฟ้องคดี จากนั้นผู้ต้องจะนำหลักฐานที่ดีกว่ามีต่อสู้ทางคดีก็ย่อมทำได้ ทั้งนี้ ต้องมีดำเนินการยึดทรัพย์ผู้ต้องหาด้วย เพราะถือเป็นความผิดมูลฐาน โดยสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) จะเข้าร่วมทำการตรวจสอบต่อไป


ที่มา ข่าวสดออนไลน์ http://www.khaosod.co.th

คนร้ายซุกบึ้มกลางหลุมพื้นถนน ระเบิดรถทหารพรานสายบุรี ดับ 5


วันที่ 24 พ.ค. พ.ต.อ.จีรเศรษฐ ดาวเงินตระกูล ผกก. สภ.สายบุรี จ.ปัตตานี รับแจ้งมีเหตุระเบิดบริเวณหน้าที่ทำการ อบต.บือเระ ม.4 บ้านสือบือรัง อ.สายบุรี เป็นเหตุให้มีทหารพรานสังกัด ทพ4204 เสียชีวิต 4 นาย และบาดเจ็บสาหัสอีก 2 นาย เจ้าหน้าที่ได้ช่วยผู้บาดเจ็บนำส่งโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสายบุรี 

สอบสวนเบื้องต้นทราบว่าทหารชุดดังกล่าว6 นายนำโดย ร.อ.สุบิน พวงมณี ผบ ร้อย  ร.4204 ฉก.42 ปัตตานีออกลาดตระเวนเส้นทางด้วยรถยนต์กระบะ 4 ประตู ยี่ห้อ โตโยต้า รุ่นวิโก้ หมายเลขทะเบียน ศศ 8965 กรุงเทพฯ ตามถนนสายชนบท สายบ้านบาโงยือริง-บือเระ เมื่อถึงจุดเกิดเหตุก่อนถึง อบต. บ้านบือเระ ประมาณ 200 เมตร ระเบิดที่คนร้ายซุกไว้ใต้ผิวถนนได้ระเบิดขึ้นเป็นเหตุให้รถกระเด็นไปพลิกคว่ำประมาณ 50 เมตร

ผู้เสียชีวิตประกอบด้วย จสอ.ชยะพล เมืองแก้ว ส.อ.มงคล พลภักดี อส.ทพ.อนุชา วงศ์สวัสดิ์ อส.ทพ.พิเชษฐ์ สระทองแอ่น และราชื่อผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ2 นาย ได้แก่ รอ.สุบิน พวงมณี ผบ.ร้อย ทพ4204 และอส.ทพ.รณชิต ชาวงค์ ได้รับบาดเจ็บสาหัส แพทย์ได้นำส่งรักษาต่อที่โรงพยาบาลปัตตานี

หลังเกิดเหตุ พล.ต.ต.เอกภพ ประสิทธิ์วัฒนชัย ผบก.ภจว.ปัตตานี .พ.ต.อ.จีรเศรษฐ ดาวเงินตระกูล ผกก. สภ.สายบุรี พ.ต.ท.นิวัฒน์ ฐิติพันธกุล พิสูจน์หลักฐานปัตตานี พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่สามฝ่ายเข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุ โดยพบชิ้นส่วนถังเคมีดับเพลิงที่คนร้ายใช้บรรจุระเบิดมีน้ำหนักประมาณ 30 กิโลกรัม โดยใช้สายไฟลากเข้าไปในป่ายางข้างทางประมาณ 70 เมตรใช้จุดแบตเตอรรี่ แรงระเบิดทำให้เป็นหลุมใหญ่กลางถนน นอกจากนั้นยังมีเศษชิ้นส่วนของเหล็กตัดขนาด 3 หุนและลูกแก้วที่ใช้ทำเป็นสะเก็ดระเบิดกระจายทั่วบริเวณ

พล.ต.ต.เอกภพ เผยว่าเจ้าหน้าที่สามฝ่ายสนธิกำลังเข้าปิดล้อมตรวจค้นพื้นที่เป้าหมายในบริเวณ ม.5 บ้านจาเราะบองอ ต.เขาตูม อ.ยะรัง จ.ปัตตานี ถตรวจพบอาวุธปืนสงครามชนิดปืนปืนกลรูซี่ จำนวน 1 กระบอก จึงได้ตรวจยึดและเชิญผู้ที่เกี่ยวข้องนำไปสอบสวนและขยายผลต่อไป


ที่มา ข่าวสดออนไลน์ http://www.khaosod.co.th