วันศุกร์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ปคม.แถลงคดีกามเกาหลี - อาสาวยันไม่ได้ลวงหลาน หอบวงจรปิดให้ตร.


วันที่ 24 พ.ค. ที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ (บก.ปคม.) พล.ต.ต.ชวลิต แสวงพืชน์ ผบก.ปคม. พ.ต.อ.ชิตภพ โตเหมือน ผกก.1 บก.ปคม. พ.ต.ท.ชูศักดิ์ อภัยภักดิ์ พงส.ผนพ. กก.1 บก.ปค ร่วมแถลงจับกุมนางเพียงใจ คิม อายุ 37 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลอาญาที่ 896/2556 ลงวันที่ 22 พฤษภาคม 2556 ในความผิดฐานร่วมกันค้ามนุษษย์โดยแสวงหาประโยชน์จากการค้าประเวณี และข้อหาอื่นๆ รวม 5 ข้อหา ซึ่งเป็นอาแท้ๆ ของ น.ส.เอ (นามสมมุติ) อายุ 17 ปี ผู้เสียหายซึ่งถูกหลอกลวงไปค้าประเวณีที่เกาหลีใต้ ภายหลังได้เดินทางกลับมาถึงเมืองไทยด้วยสายการบิน Eastar Jet เที่ยวบินที่ZE511 มาถึงสนามบินสุวรรณภูมิเมื่อเวลา 21.30 น. ก่อนที่ตำรวจ ตม. จะเข้าควบคุมตัวตามหมายจับ และประสานให้ พ.ต.อ.ชิตภพ โตเหมือน ผกก. 1 บก.ปคม. และ พ.ต.ท.ชูศักดิ์ อภัยภักดิ์ พนักงานสอบสวน กก.1 บก.ปคม. เดินทางไปรับตัวเมื่อช่วงค่ำที่ผ่านมา
 
จากการสอบสวนเบื้องต้นนางพิมใจให้การปฎิเสธว่าไม่ได้เป็นผู้ชักชวนไปแต่เป็นความสมัครใจของหลานสาวเอง วันนี้ก็ได้นำหลักฐานซึ่งเป็นข้อมูลพร้อมภาพวงจรปิดมามอบให้เพื่อตรวจสอบ โดยหลังจากนี้ตำรวจจะสอบปากคำทั้งสองฝ่ายอย่างละเอียด และตรวจสอบหลักฐานทั้งหมด โดยนางพิมใจได้นำเงินสด 400,000 บาทมาเพื่อประกันตัว โดยเจ้าหน้าที่ไม่ได้คัดค้านแต่อย่างใด แต่จะควบคุมตัวเพื่อส่งศาลอาญารัชดาในช่วงเช้า วันพรุ่งนี้ (25 พ.ค.)

ด้านนางเพียงใจ กล่าวว่า ตนเข้ามอบตัวเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ และให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา ซึ่งการค้าประเวณีเป็นข้อกล่าวหาที่แรงเกินความจริง ร้านที่ตนทำงานเป็นเพียงร้านนวดแผนไทยธรรมดาไม่ได้มีการค้าประเวณี อีกทั้งหลานสาวเป็นคนสมัครใจไปเองไม่ได้มีการบังคับข่มขู่ โดยแม่ของเด็กก็เคยไปทำงานที่ร้านนี้และยังทราบดีว่าหลานสาวขอไปด้วย อีกทั้งแม่ของเด็กยังเดินทางไปส่งหลานกับตนที่สนามบินในวันที่เดินทาง ส่วนตอนอยู่ที่เกาหลีก็กินนอนอยู่ด้วยกันตลอดไม่ได้มีใครมาควบคุมหรือขู่บังคับ เพราะหลานสาวก็ยังเล่นเฟซบุ๊กตลอด หากบอกตนหรือปรึกษาเสียก่อนว่าอยากกลับตนก็ยินดีจะส่งตัวกลับ

นางเพียงใจ กล่าวอีกว่า ส่วนสาเหตุที่หลานไปโพสเฟซบุ๊กขอความช่วยเหลือว่าถูกหลอกมาค้าประเวณีนั้น ตนไม่ทราบว่าเพราะเหตุใด หรือหลานอาจจะคิดว่าทำงานนวดแล้วเหนื่อยวันละ 4-5 คน เพราะหลานไม่เคยทำงานหนักมาก่อน อีกทั้งคงกลัวว่าถ้าบอกพ่อแม่ว่าขอกลับเมืองไทยจะถูกดุด่าเพราะไม่มีความอดทน จนเป็นสาเหตุในการไปโพสต์ขอความช่วยเหลือดังกล่าว 

สำหรับตนนั้นไม่โกรธหลานเพราะอาจยังเด็กจึงรู้เท่าไม่ถึงการณ์ แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมไม่มาบอกตรงๆ ทำให้เรื่องบานปลายจนตนต้องถูกศาลออกหมายจับจนเสียประวัติและครอบครัวก็ได้รับผลกระทบไปด้วย ส่วนการพิจารณาแจ้งความดำเนินคดีกับ พ.ต.ท.ธานินทร์ นั้น ขณะนี้ยังขอพิจารณาอีกครั้งว่าเรื่องที่เกิดขึ้นทำให้ตนเสียหายแค่ไหน ความจริงแล้วก็เข้าใจว่าตำรวจทำตามหน้าที่ รวมทั้งทาง บก.ปคม.ซึ่งดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมาย ส่วนเรื่องนี้ผู้ปกครองของ น.ส.เอ ยังไม่ได้พูดกับตน แต่คงยังไม่แจ้งความกลับผู้ใด

ด้านพ.ต.ท.ธานินทร์ จินดามณี รองผกก.สส.สภ.โคกศรีสุพรรณ จ.สกลนคร ซึ่งรับข้อมูลช่วยเหลือสาววัย 17 ปี เป็นคนแรก เปิดเผยกับ “ข่าวสด” ด้วยว่า ตนเป็นเพียงผู้รับเรื่องและส่งข้อมูลให้กับสถานทูตไทยประจำกรุงโซล ประเทศเกาหลีและบก.ปคม. เท่านั้น ถ้าข้อเท็จจริงเกิดข้อผิดพลาดจริงทางหน่วยงานที่ทำการตรวจสอบเรื่องดังกล่าวไม่จำเป็นต้องช่วยเหลือน.ส.เอก็ได้ แต่ทางหน่วยงานมีหลักฐานหรือข้อมูลประกอบด้วยอยู่แล้ว ไม่เช่นนั้นคงไม่ทำการจับกุมหรือนำเรื่องดังกล่าวเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมเพื่อขอให้ศาลออกหมายจับ 

ส่วนกรณีที่เด็กอาจจะให้ข้อมูลเท็จด้วยหรือไม่นั้น ก็เป็นธรรมดาที่เด็กต้องเข้าข้างญาติของตนเอง แต่ข้อมูลการสอบปากคำทั้งหมดถูกบันทึกเอาไว้หมดแล้ว โดยมีตำรวจ พนักงานอัยการ นักจิตวิทยา นักสังคมสงเคราะห์ และคนที่น.ส.เอไว้ใจไว้ร่วมสอบปากคำด้วย เพื่อป้องกันน.ส.เอ เบี้ยวหรือเปลี่ยนคำพูด และหากเด็กเกิดเปลี่ยนคำพูดจริงแล้ว ตนก็เป็นเพียงผู้รับแจ้ง ถ้าเป็นคนธรรมคงไม่เท่าไร่ แต่เป็นตำรวจพอดีจึงเป็นข่าว 

อย่างไรก็ตาม คดีดังกล่าวมีการกระทำความผิดเกิดขึ้นในต่างประเทศ เจ้าพนักงานที่รับผิดชอบคดีจากต่างประเทศต้องทำการรวบรวมข้อมูลมาอย่างดี รวมทั้งหน่วยงานภายในประเทศที่รับผิดชอบดำเนินการดังกล่าว เพราะขั้นตอนดำเนินการมาจนถึงการรวบรวมหลักฐานเพียงพอที่สามารถขออนุมัติศาลออกหมายจับและนำมาทำการจับกุมแล้ว

 พ.ต.ท.ธานินทร์ กล่าวอีกว่า จากหลักฐานข้อมูลที่ตำรวจไม่สามารถนำออกมาแสดงต่อหน้าสื่อได้ ยืนยันได้ว่าเด็กไม่ได้เดินทางไปคนเดียวยังมีเด็กคนอื่นๆ เดินทางไปด้วย โดยที่ไม่รู้จักกัน เชื่อได้ว่าแก๊งค้ามนุษย์ดังกล่าวต้องมีการทำงานกันเป็นขบวนการ เพราะเด็กอายุ 17 ปี เดินทางไปทำงานต่างประเทศ ถือว่าผิดกฎหมายตั้งแต่ต้น เพราะไม่มีใบอนุญาตการทำงาน รวมถึงหากมอบตัวแล้วในกระบวนการสอบสวนอย่างคดีดังกล่าว มักจะไม่ได้รับการประกันตัวเมื่อเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม จึงต้องรอให้ถึงขั้นตอนที่พนักงานสอบสวนผู้ต้องหาพร้อมนำสำนวนคดีส่งอัยการสั่งฟ้องคดี จากนั้นผู้ต้องจะนำหลักฐานที่ดีกว่ามีต่อสู้ทางคดีก็ย่อมทำได้ ทั้งนี้ ต้องมีดำเนินการยึดทรัพย์ผู้ต้องหาด้วย เพราะถือเป็นความผิดมูลฐาน โดยสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) จะเข้าร่วมทำการตรวจสอบต่อไป


ที่มา ข่าวสดออนไลน์ http://www.khaosod.co.th

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น